Thursday, June 22, 2006

 

ตอบกระทู้เรื่องคาถาชินบัญชรและยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก

อย่าไปยึดติดที่คาถา ขอให้เข้าถึงธรรมะจะดีกว่าครับพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้งมงาย ทุกสิ่งมาจากเหตุปัจจัยครับ ทำบุญ 1 แต่หวังได้ล้านคงเป็นไปไม่ได้ครับบทสวดชินบัญชรเป็นบทสวดที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้ ทางไทย ศรีลังกา พม่า ล้านนา จากการศึกษาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช คาดว่าคาถานี้แต่งขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ อย่างช้าไม่เกินพระเจ้าติโลกมหาราช อย่างเร็วไม่เกินสมัยพระเจ้าอโนรธา (ระหว่าง พ.ศ. 1982-2150) และคงแต่งโดยพระเถระชาวล้านนาไม่ปรากฏชื่อแน่ชัด เป็นที่นิยมสวดอย่างแพร่หลายในเชียงใหม่และล้านนาก่อน ภายหลัง ลังกาและพม่าจึงรับเอาไปสวด เจ้าพระคุณสมเด็นพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นำมาปรับปรุงแก้ไขบางแห่งพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ชินบัญชร จนภายหลังเข้าใจกันไปว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นผู้แต่งขึ้นต้นฉบับเดิมมีเพียง 14 คาถาเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือไปจากนี้เป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นภายหลังตามความนิยม บางฉบับมีเพียง 14 คาถา บางฉบับมี 15 คาถากึ่ง และบางฉบับมี 22 คาถา จากการรวบรวมพบว่า มี 8 ฉบับ ได้แก่ ฉบับวัดระฆัง, ฉบับนายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์, ฉบับ น.อ.(พิเศษ) แย้ม ประพัฒน์ทอง, ฉบับปรับปรุงโดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน, ฉบับลังกา, ฉบับวัดท่ามะโอ จากพม่า, ฉบับนายเจมส์ เกรย์ จากพม่า, ฉบับล้านนาเนื้อหาของคาถาเป็นการอัญเชิญพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระปริตร มาสถิตยังอวัยวะต่างๆของร่างกาย จึงถือว่าเป็นมงคล ไม่น่าจะเป็นเรื่องคาถาร้อน และไม่น่าจะเป็นคาถาที่แต่งขึ้นมาเพื่อไล่ผีนะครับส่วนยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นคาถาที่เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอานิสงส์ที่เขียนระบุไว้ยิ่งทำให้ผู้คนพิมพ์แจกกันอย่างแพร่หลายเพื่อให้ได้บุญยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนตัวผมนั้นไม่นิยมนัก เพราะรู้สึกถึงอิทธิพลพราหมณ์ในคาถานี้มากกว่าความเป็นพุทธ และเท่าที่ทราบ คาถานี้ก็ไม่ตรงตามหลักไวยากรณ์บาลี จึงแปลไม่ได้เจ้าคุณท่านหนึ่งที่ผมนับถือ เคยสอนผมว่าให้สวดบทพาหุงฯจะดีกว่า เพราะจะได้ทั้งธรรมะ ทั้งความศักดิ์สิทธิ์

 

ตอบกระทู้เรื่องพระเคราะห์สนธิและเรือนชะตา

ในคัมภีร์พระเคราะห์สนธิ อ.ประยูรได้เขียนไว้ว่า การพยากรณ์โดยใช้พระเคราะห์สนธิเป็นการพยากรณ์ที่สมบูรณ์ในตัวเอง แต่ไม่ได้บอกว่ายูเรเนียนมี 2 ระบบที่เป็นเอกเทศ แยกออกจากกัน สำหรับที่ จขกท.อ่านพบ ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหน แต่คาดว่าไม่น่าจะใช่ความเห็นของอ.ประยูรส่วนตัวของผม ผมยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะแยกการศึกษายูเรเนียนเป็น 2 ระบบตั้งแต่ต้น (นอกจากจะเป็นการสร้างจุดขายทางการตลาดของอาจารย์ที่สอนมากกว่า)ยกตัวอย่างการเรียนวิศวฯ นักเรียนทุกคนก็ต้องมีพื้นฐานจากสายวิทย์-คณิตฯ เช่น ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เคมี ฯลฯ ในระดับมัธยมก่อนที่จะเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกัน เช่น แคลคูลัส, Mechanic, Drawing ฯลฯ ก่อนที่จะแยกสาขาวิชาออกไปตามความชอบและความถนัดโหราศาสตร์ก็เช่นกัน นักเรียนควรที่จะเรียนวิชาพื้นฐานและเทคนิคต่างๆให้รอบด้าน เมื่อเกิดความเข้าใจแล้วจึงลงลึกในแนวทางที่แต่ละคนถนัด และยังสามารถใช้เทคนิคต่างๆมาประกอบในเรื่องที่ซับซ้อนได้อีกด้วยผมขอตั้งข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง คือ นักโหราศาสตร์ยูเรเนียนแต่เดิมจะใช้จานหมุนเป็นเครื่องมือหลัก ดังนั้นการใช้เรือนชะตาจะสามารถพยากรณ์ได้รวดเร็วและเห็นด้วยตาเปล่าชัดกว่า แต่นักโหราศาสตร์รุ่นใหม่ๆมักเริ่มจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์จึงให้โปรแกรมแสดงรายงานพระเคราะห์สนธิมาให้จึงนิยมอ่านจากพระเคราะห์สนธิเป็นหลักสำหรับผมที่เป็นนักเรียนโหราศาสตร์ยูเรเนียนได้ไม่นานนัก และเรียนทั้งการใช้จานหมุนและโปรแกรมคอมฯ พบว่า การหมุนจานให้มุมมองที่ชัดเจนกว่า (better visibility) และโปรแกรมในปัจจุบันยังไม่สามารถทดแทนได้ แต่เมื่อต้องการความละเอียดรวดเร็วในเชิงมุม การใช้โปรแกรมจะให้ผลดีกว่า เพราะฉะนั้นในเรื่องสำคัญๆ ผมจะใช้ประกอบกัน แต่เวลาดูสนุกๆ ก็มักจะใช้โปรแกรมเพราะรวดเร็วดีผมเคยอ่านเจอในตำราของ Maria Kay Simms นักโหราศาสตร์ชื่อดังของอเมริกา เธอก็ใช้จานหมุนเป็นหลักและประกอบด้วยการใช้โปรแกรมคอมฯ (แม้ว่าเธอจะไม่นิยมการใช้เรือนชะตา)
ขอบคุณที่ค้นข้อมูลมาให้ครับ ผมจะไปอ่านทบทวนอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น แต่ผมยังยืนยันความเห็นเดิมครับว่า ผู้เริ่มต้นไม่จำเป็นต้องแยกศึกษาระบบใดระบบหนึ่ง แต่ควรศึกษาทั้ง 2 ระบบแล้วนำมาปรับใช้งานตามความเหมาะสมและความถนัดของแต่ละท่านความเห็นของอ.จรัลที่ Quote มาก็ให้ความหมายสมบูรณ์อยู่แล้วอย่างไรก็ตาม เป็นสิทธิส่วนตัวของแต่ละท่านอยู่แล้วครับที่จะเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองคิดว่าดี ถ้าท่านเชื่อว่าควรเรียนเฉพาะพระเคราะห์สนธิก็สามารถกระทำได้ ไม่ใช่เรื่องผิด ขอเพียงศึกษาให้ลึกถึงปรัชญาที่แท้จริงของดวงดาวที่ประกอบขึ้นมาเป็นพระเคราะห์สนธิ เหมือนอาฮุยในเรื่องลี้คิมฮวงที่มีเพียงกระบวนท่าเดียวคือแทงกระบี่เข้าคอหอยก็เป็นยอดฝีมือได้ส่วน คห.ที่ 7 ช่วยให้ข้อมูลหน่อยได้มั้ยครับว่า Quote มาจากไหน จะได้ไปหาฉบับเต็มเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมครับ
ผมกลับไปอ่านคัมภีร์สูตรเรือนชะตาของ อ.ประยูรอีกครั้งแล้วครับ เท่าที่ทบทวนเร็วๆ จะมีการพูดถึงเรื่องนี้ 2 ครั้งในหน้า 71-72 และหน้า 86 (ถ้าใครเจอหน้าอื่น ช่วยบอกด้วยจะขอบคุณมากครับ) จากการอ่านทบทวน ผมตีความว่า อาจารย์ท่านบอกให้ทราบว่ามี 2 ระบบจะใช้แยกหรือรวมกันก็ได้ แต่ไม่มีจุดไหนที่อ.ประยูรบอกว่าให้เลือกเรียนระบบใดระบบหนึ่งครับ
ถ้า จขกท.คิดว่าทฤษฎีเรือนชะตาต้องจำมากกว่าพระเคราะห์สนธิ คงจะเข้าใจผิดแล้วครับ เพราะทฤษฎีเรือนชะตามาจากปรัชญาการเกิดขึ้นในราศีเมษ (เรือนที่ 1) จนถึงการสูญสิ้นไปในราศีมีน (เรือนที่ 12) ดังนั้นไม่ใช่การจำแต่เป็นการเข้าใจปรัชญาวงจรชีวิตครับที่สำคัญ ถ้าไม่ต้องการหลงทาง ก่อนที่จะเรียนทฤษฎีเรือนชะตาหรือพระเคราะห์สนธิ นักเรียนโหราศาสตร์ควรที่จะเรียนพื้นฐานโหราศาสตร์ก่อนครับ ได้แก่ ปรัชญามูลฐาน ทรงกลมฟ้า จักรราศี จุดเจ้าชะตา ดวงดาว การอ่านดวงชะตาขั้นพื้นฐาน (มีกระทู้ใน web นี้ที่มีผู้ post หลักสูตรโหราศาสตร์ของอ.ประยูร ซึ่งลำดับการเรียนได้ดีมากครับ) และถ้าจะให้ช่วย guide ผมก็ขอยืนยันความเห็นเดิมที่เคย post ใน web นี้หลายครั้งว่า เรียนกับอาจารย์เถอะครับ อย่าอ่านหนังสือและตีความเอาเองอย่างเดียว จะหลงทางเสียเวลาไปเปล่าๆสำหรับเทคนิคการสะท้อนเรือนเป็นเทคนิค(อาวุธ)ชนิดหนึ่งที่สามารถเลือกใช้ตามสถานการณ์ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ทุกครั้ง ดังนั้น ถ้ายังไม่เข้าใจพื้นฐานก็ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องสะท้อนเรือนที่ซับซ้อนขึ้นไปครับ (ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ลึกซึ้งจึงแทบไม่เคยใช้เลยครับ)
เพื่อให้กระทู้นี้สนุกยิ่งขึ้น ผมไปอ่าน web ของท่าน Ruth Brummund แล้วพบว่า สำนักของท่าน Ruth ก็ไม่ใช้ทั้งเรือนชะตาและพระเคราะห์สนธิ แต่ใช้ศูนย์รังสีเป็นหลัก"..Ms Brummund elucidates the problems of working routinely with Sensitive Points, and why they have been abandoned in standard Uranian Astrology practice today."ดังนั้น ถ้าท่านใดจะเลือกเรียนในสำนักของท่าน Ruth ก็ไม่ต้องสนทั้งเรือนชะตาและพระเคราะห์สนธิครับ เน้นเฉพาะศูนย์รังสี (Midpoint) :)ลองไปอ่านดูใน The Value of Sensitive Points (http://finblake.home.mindspring.com/brsenspoints.htm

 

ตอบกระทู้เรื่องมุมในโหราศาสตร์สากลกับยูเรเนียน

เรื่องมุมเป็นประเด็นที่มีความแตกต่างของโหราศาสตร์ยูเรเนียนกับโหราศาสตร์สากลทั่วไปครับ มุมในโหราศาสตร์มาจากการหาร 360 องศาด้วยเลขจำนวนเต็ม เรียกว่า Harmonicเช่น Harmonic ที่ 1 คือ 360/1 = 360 หรือ 0 คือมุมกุม (conjunct)Harmonic ที่ 2 คือ 360/2 = 180 คือมุมเล็ง (opposite)Harmonic ที่ 3 คือ 360/3 = 120 คือมุมตรีโกณ (trine)Harmonic ที่ 4 คือ 360/4 = 90 คือมุมฉาก (square)Harmonic ที่ 5 คือ 360/5 = 72 (quintile)...โดยโหราศาสตร์สากลจะใช้มุมเป็นตัวให้ความหมายด้วย เช่น มุมฉากเป็นมุมขัดแย้ง ให้ความเครียดกับดาว 2 ดวงที่ทำมุมฉากกัน แต่มุมตรีโกณ จะให้ความสบายแต่โหราศาสตร์ยูเรเนียนนั้น ไม่ได้ให้ความหมายของมุมในทางดีหรือร้าย แต่บอกเพียงว่ามุมแรงหรือไม่ คือมีผลระหว่างดาวที่ทำมุมกันหรือไม่ เช่น อาทิตย์ ทำมุม 90 กับพฤหัส แปลว่า เจ้าชะตามีโชค แต่ถ้าในโหราศาสตร์สากลก็อาจให้ความหมายเพิ่มเติมไปว่า เจ้าชะตามีโชคด้วยความเหน็ดเหนื่อย (เพราะเป็นมุมร้ายหรือตึงเครียด)ว่ากันว่า การตัดสินใจไม่ใช่มุมดีมุมร้ายของท่านวิตเตอมาจากการสังเกตในสนามรบ (สงครามโลกครั้งที่ 1) แล้วพบว่า มุม 0, 180, 90, 45 จะให้ผลการพยากรณ์พื้นที่ที่จะมีการต่อสู้แม่นยำ โดยไม่ต้องใช้ความหมายของมุมดีหรือร้ายเลย เพียงแต่เอาความหมายดาวมาผสมกันก็เพียงพอแล้วสำหรับผมแล้ว เนื่องจากเป็นศิษย์สำนักยูเรเนียนก็ใช้ตามแนวทางของปรมาจารย์ คือไม่ใช้ความหมายของมุมครับ ใช้มุม 0, 180, 90, 45, 22.5 (ตามลำดับความแรง) แต่บางครั้งก็ดูมุมตรีโกณบ้างเวลาจะดูเรื่องความสัมพันธ์ของคน

 

ตอบกระทู้โหราศาสตร์สายนะกับนิรายนะ

จริงๆแล้วโหราศาสตร์ทั้ง 2 ระบบมีจุดเริ่มต้นมาจากที่เดียวกันคืออาณาจักรบาบิโลน (ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. ใกล้เคียงกับยุคพระพุทธเจ้าในอินเดีย) เริ่มต้นแบ่งจักรราศีเป็น 12 ราศี ราศีละ 30 องศา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคาลเดียน (ตอนใต้ของบาบิโลน) ณ เวลาที่เริ่มต้นแบ่งจักรราศีเป็น 12 ส่วนเท่ากันนั้น จุดเมษทั้ง 2 ระบบอยู่ที่จุดเดียวกัน แต่ปัญหาใหญ่ของระบบนิรายนะคือ การกำหนดจุดเริ่มต้นของราศีเมษจากการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้าให้แน่นอนระดับลิปดาหรือพิลิปดาไม่ใช่เรื่องง่ายและที่สำคัญแต่ละสำนักก็อาจจะมีผลการคำนวณไม่ตรงกัน สังเกตได้จากค่าอยนางศที่มีค่าแตกต่างหลายสำนักในปัจจุบัน (อ่านบทความ อยนางศ โดย พล.อ.ต. ม.ร.ว. สุกษม เกษมสันต์ ใน web เสริมของคุณโรจน์จะทำให้เข้าใจมากขึ้น) นักโหราศาสตร์ชาวกรีกจึงได้คำนวณจุดเมษจากจุดวสันตวิษุวัตแทน และอธิบายความหมายแต่ละราศีจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า Tropical Astrology แต่ยังคงใช้ชื่อราศีเช่นเดียวกับระบบนิรายนะจากจุดนี้เองทำให้โหราศาสตร์แยกออกเป็น 2 สายชัดเจน โดยโหราศาสตร์สายนะจะส่งผ่านจากอาณาจักรกรีก-โรมัน มายังอาณาจักรอิสลาม อาณาจักรในยุโรป มาสู่โหราศาสตร์สายนะในปัจจุบัน ส่วนโหราศาสตร์นิรายนะเป็นที่นิยมในอินเดียและอาณาจักรที่รับอิทธิพลอินเดียเช่น ไทย พม่า ฯลฯ จนกระทั่งปัจจุบัน
ความหมายของแต่ละราศีของสายนะจะเน้นที่ปรัชญาของฤดูกาล มากกว่าชื่อกลุ่มดาวประจำราศี เช่น ราศีเมษเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิในซีกโลกเหนือ ดังนั้นจึงให้ความหมายของการเริ่มต้นใหม่ ฯลฯ จขกท.สามารถอ่านความหมายเชิงปรัชญาอย่างละเอียดได้จากคัมภีร์สูตรเรือนชะตาของอาจารย์ประยูรดังนั้น ความเห็นของผมในประเด็นนี้ก็คือ ปรัชญาของโหราศาสตร์สายนะมาจากฤดูกาลและดวงดาวในสุริยจักรวาลเป็นหลัก จึงไม่ได้อธิบายด้วยกลุ่มดาวฤกษ์ซึ่งอยู่ไกลจากระบบสุริยะของเราเหลือเกิน ที่บอกว่าดาวฤกษ์บางดาวใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เสียอีก ผมคิดว่าความใหญ่ไม่ใช่ประเด็นเดียว จะต้องประกอบกับระยะทางด้วย เพราะดวงจันทร์ก็เล็กมากเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ แต่เพราะอยู่ใกล้โลกมากจึงมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมาก เช่น น้ำขึ้น น้ำลง ฯลฯแต่ผมไม่ได้ปฏิเสธบทบาทของกลุ่มดาวฤกษ์ทั้งหมดนะครับ เพราะเห็นตำราโหราศาสตร์ตะวันตกพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เช่น Fixed Stars and Their Interpretation ของท่าน Ebertin แต่ผมไม่เคยอ่าน เลยไม่สามารถให้ความเห็นเรื่องนี้ได้อีกประเด็นนึงเกี่ยวกับระบบนิรายนะ คือดาวแต่ละกลุ่มราศีบนท้องฟ้าจริงไม่ได้กว้าง 30 องศาเท่ากันหมดนะครับ แต่อยู่ระหว่าง 18 ถึง 46 องศา ดังนั้นจุดแบ่งระหว่างราศีก็เป็นประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกตเช่นกันที่ยุ่งกว่านั้นอีก ก็คือ มีความพยายามจะเพิ่มราศีที่ 13 ขึ้นมา คือ กลุ่มดาว Ophiuchus อยู่ระหว่างราศีพิจิก กับธนู ความกว้างของราศีประมาณ 18.5 องศา (ถ้าพูดในเชิงดาราศาสตร์แล้ว ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เว้นพลูโต จะโคจรผ่านกลุ่มดาวถึง 21 กลุ่มในจักรราศี)ที่ผมให้ข้อมูลมากมายไว้อย่างนี้ เพราะผมมีความเห็นว่า โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง มีพัฒนาการไม่ต่ำกว่า 2,500 ปี นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายท่านก็เป็นนักโหราศาสตร์เช่นเดียวกัน เช่น ปโตเลมี, โจฮัน เคปเลอร์, คาร์ล จุง, นิวตัน ฯลฯ ดังนั้น ถ้าสนใจโหราศาสตร์ ก็ควรจะศึกษาจากอาจารย์เป็นเรื่องเป็นราว การอ่านหนังสืออย่างเดียวให้ความรู้เพียงผิวเผิน โดยเฉพาะตำราภาษาอังกฤษมักเน้นการนำไปใช้งาน (Application) มากกว่าปรัชญา ทำให้คนอ่านจะไม่เข้าใจความลึกซึ้งของโหราศาสตร์คำอธิบายของอาจารย์หลายท่านที่มีต่อระบบโหราศาสตร์ทั้ง 2 ก็คือ ชอบหรือถนัดระบบใดก็ใช้ระบบนั้น ทั้ง 2 ระบบสามารถพยากรณ์ได้แม่นยำเหมือนกัน ขึ้นกับความสามารถของผู้พยากรณ์มากกว่าตัวระบบที่ใช้

Tuesday, June 13, 2006

 

โหราศาสตร์กับพฤติกรรมการช้อปปิ้ง

หลายๆท่านคงอาจเคยได้ยิน หรือบางท่านอาจจะเคยได้ศึกษา แขนงวิชาหนึ่งด้านการตลาด นั่นคือ พฤติกรรมผู้บริโภค วิชานี้ถือว่าเป็นวิชาสำคัญ เพราะเป็นการเข้าใจผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสามารถวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาเป็นลูกค้าของแต่ละองค์กรได้ ดังนั้น ทุกองค์กรจึงพยายามที่จะศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตนเอง เพื่อสร้างยอดขายสูงสุดให้กับองค์กร
ประมาณกลางทศวรรษ 1990 กลุ่ม Tesco ในสหราชอาณาจักร ได้สนับสนุนการทำวิจัยเกี่ยวกับ พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า Tesco กับราศีเกิด (Sun-signs) โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยในการทำการตลาด โดยเฉพาะการตลาดทางตรง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผลการวิจัยให้ผลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการช้อปปิ้งนั้น สอดคล้องกับลักษณะของบุคคลแต่ละราศีอย่างชัดเจน ดังนี้
ราศีเมษ
เป็นบุคคลที่ใช้รถเข็น (Trolley) อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และออกไปในทางรุนแรง (aggressive) อีกด้วย
ราศีพฤษภ
มักจะซื้อเฉพาะของใช้พื้นฐาน และเป็นไปตามรูปแบบดั้งเดิม
ราศีมิถุน
คนราศีนี้จะซื้อของตามเทรนด์ของสังคมตอนนั้น และมักจะชอบซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเสมอ
ราศีกรกฎ
บุคคลราศีนี้จะมีความภักดีกับแบรนด์สูง
ราศีสิงห์
บุคคลราศีนี้ จะใช้เวลาในการเลือกซื้อสินค้าที่เคาน์เตอร์ของสำเร็จรูปมากกว่าราศีอื่น
ราศีกันย์
เนื่องจากราศีกันย์ เป็นคนที่เป็นระเบียบ จึงซื้อของตามรายการที่จดมาเท่านั้น
ราศีตุลย์
ราศีตุลย์ เป็นราศีที่รักความสวยงาม จึงชอบที่จะซื้อของในบรรยากาศดี จัดวางของสวยงาม เพลงไพเราะ และที่สำคัญหีบห่อต้องมีรสนิยมด้วย
ราศีพิจิก
ราศีนี้ จะเลือกซื้อของที่คุณภาพเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับรสนิยม
ราศีธนู
ราศีนี้เป็นที่รักของร้านค้า เพราะชอบซื้อของทีละมากๆ เต็มรถเข็น
ราศีมกร
บุคคลราศีนี้จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลือกสินค้าที่มีส่วนประกอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ราศีกุมภ์
บุคคลราศีนี้จะเลือกซื้อของที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ราศีมีน
บุคคลราศีนี้จะตรงข้ามกับราศีกันย์ โดยคนราศีมีนมักจะซื้อของโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่สนว่าจะใช้ได้จริงหรือไม่ ถือว่าเป็นราศีที่ซื้อของอย่างปัจจุบันทันด่วนที่สุด เมื่อเทียบกับราศีอื่นๆ
จากผลการวิจัยเหล่านี้ หวังว่าทุกท่านจะนำไปลองสังเกตคนรอบข้างดูว่าเป็นอย่างนี้หรือไม่ ที่สำคัญ ใครที่มีร้านค้า อาจจะลองนำไปประยุกต์ใช้ดูได้ แต่จะหาราศีเกิดของลูกค้าอย่างไร คงต้องเป็นฝีมือของทุกท่านเองครับ

 

Welcome to my blog


This page is powered by Blogger. Isn't yours?

Subscribe to Posts [Atom]